การปฏิรูปทางการศึกษา จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่นำแนวความคิดของการปฏิรูปไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ตั้งใจ แก้ไข ปรับปรุง และพัฒนา ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาการเรียนรู้ ไม่มีทางที่ “ความคิด หรือ ความอยาก”จะเป็นจริงขึ้นมาได้ เพราะมันเป็นเพียงความรู้สึกที่อยู่ในจิตใจเท่านั้นเอง..ท่านต้องนำไปปฏิบัติ..ความรู้จะเกิดขึ้นในตัวท่านมากมาย และไม่มีใครรู้ดีไปกว่าท่าน..เพราะนี่คือ “ปัญญาเฉพาะตัว” โดยแท้
***เราต้องการปัญญาชนิดนี้ให้เกิดขึ้นกับตัวเรา และ ศิษย์ของเรา..คุณครูมืออาชีพต้องการสร้างสิ่งนี้..เพื่อความสำเร็จในความเป็นครูของเขา***
ใครบ้างที่ต้องปรับเปลี่ยนความคิดและการนำไปใช้
1.ผู้บริหารระดับนโยบาย ท่านเป็นคนสำคัญ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุด ถ้าท่านเห็นความสำคัญในการปฏิรูปการศึกษาจริง “เมื่อหัวส่าย หางต้องกระดิก” นี่เป็นธรรมชาติ แต่ถ้า “หัวพุ่งไปในทิศทางที่ผิดพลาด การศึกษาของชาติก็ตามไปสู่ความหายนะ”อย่างไม่ต้องสงสัย..ท่านจงระมัดระวังให้มาก “ทั้งการพูดจา และการกระทำ”..ท่านเป็นเฟืองตัวใหญ่ ที่ฉุดเฟืองตัวเล็กๆให้หมุนไปตาม..ดังนั้น “คำพูด และการกระทำของท่าน” จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปได้ “ทั้งทางดี และทางเสื่อม”....
2.ผู้บริหารระดับปฏิบัติการ ในเขตพื้นที่การศึกษา ท่านต้องเห็นความสำคัญใน “การจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ Geospatial Educational Management”และยืนยัน “ความถูกต้องของการบริหารการศึกษา Accuracy of educational administration.” โดยไม่ยอมให้ “อวิชชา และ มิจฉาทฎฐิ”ใดๆมาครอบงำ..งานของท่าน มี 2 ประการคือ “นำความจริงที่เกิดขึ้นเข้าสู่ผู้บริหารระดับนโยบาย เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหา และพัฒนาสิ่งที่เป็นคุณค่า “เชิงนโยบาย” ต่อไป...และ 2.ร่วมมือกับโรงเรียน ปรับเปลี่ยนความคิด Turning restructuring of ideas ทำ Work Shop ในช่วงปิดภาคการเรียน เพื่อช่วยกันสร้าง Learning Innovation และท่านเป็นหน่วยงานที่ต้องับผิดชอบในการประเมินแบบ “Authentic Assessment หรือ ประเมินตามความเป็นจริง”ต่อไป...
3.ระดับโรงเรียน
***ผู้อำนวยการโรงเรียนและคณะครู “ระดมความคิด Brainstorming” ปรับเปลี่ยนความคิด Turning restructuring of ideas นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญหรือเป็นหัวใจสำคัญตามแนว Constructivism..เรียนรู้จากประสบการณ์ Experience Learning..ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง Child Centered ใช้ยุทธศาสตร์ Learning by Doing ตลอดจนถึงวิธีการ “วัดผลประเทินผล ตามความเป็นจริง Authentic Assessment จ่อไป***
การปรับเปลี่ยน ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ดังนี้
1.ทำความกระจ่างและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันและกัน Clarification and exchange of ideas ทำความเข้าใจในคณะครูให้กระจ่างที่สุดก่อน ถึงบทบาทการสอนที่เปลียนไป “เป็น “ผู้สร้างกิจกรรมการเรียนรู้ Creator of learning activities” และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียน หาวิธีเรียนรู้จากประสบการณ์ด้วยตนเอง.. และนอกจากนี้ “คุณครูจะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิด เรื่องการเรียนรูกับผู้เรียน Teachers will need to modify the “Matter of learning” to the students.” ด้วย..
***ระหว่างความคิดของตนเองกับของคนอื่น ไม่จำเป็นต้องเห็นคล้อยตามกันเสมอ เพราะคนเราทุกคนย่อมมี “ความแตกต่างกันระหว่างบุคล Individuals Differences”นี้..การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทำให้ “คนเราได้คิดทบทวน ซึ่งเป็นการสร้างปัญญาโดยธรรมชาติ..นับว่ามีคุณค่าอย่างยิ่ง..และผลพลอยได้คือ ความเป็นประชาธิปไตยของสมาชิกแต่ละคน***
***คุณค่าของความคิดเห็นที่แตกต่างกันนี้ จะรู้ได้ เห็นได้ ก็ด้วยการเรียนรู้แบบกลุ่มการเรียน ที่เรียกว่า Group Learning และใช้ยุทธศาสตร์ Brainstorming, Cooperative and Collaborative นั่นเอง***
2 การสร้างความคิดใหม่ Construction of new ideas จากการอภิปรายและการสาธิต ผู้เรียนจะเห็นแนวทางแบบวิธีการที่หลากหลายในการตีความปรากฏการณ์ หรือเหตุการณ์แล้วกำหนดความคิดใหม่ หรือความรู้ใหม่
***ผู้อำนวยการ ไม่ใช่ Commander แบบทหาร แต่เป็น Facilitator เพื่อนร่วมงาน ผู้ให้บริการ เพื่อทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากที่สุด
***ครูเปลี่ยนการสอนแบบ Passive Approach ไปเป็น Active Approach***
***นักเรียนเปลี่ยนวิธีเรียน จาก “การฟังด้วยหู ดูด้วยตา” มาเป็นการเรียนจากประสบการณ์ Experience Learning เรียนรูจากการปฏิบัติจริงด้วยตนเอง ที่เรียกว่า Learning by Doing ครบถ้วนกระบวนการ***
ขอทบทวนกระบวนการ Learning by Doing อีกนิดเถอะครับ
หลักการ Learning by Doing โดยสรุปมีขั้นตอน ดังนี้ 1.ให้ “นักเรียนทุกคน”สำรวจตรวจสอบและเก็บข้อมูลทุกด้านแล้วบันทึกไว้เป็นข้อๆ Collect data, Gather information,>>2.ครูวิจารณ์ และเสนอแนะการสำรวจ Exploring ที่คลอบคลุมทุกดาน หรือการหาข้อมูล การจัดเก็บข้อมูล การจัดการข้อมูล >>3.แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย 3-5 คน เพื่อการ Brainstorming เรียนรู้จากกลุ่มด้วยวิธี Cooperative and Collaborative Learning มีการนำเสนอข้อมูลของตน สมาชิกของกลุ่มโต้แย้ง หรือยอมรับ และยืนยันความถูกต้อง เรียบเรียงใหม่ หลอมรวมข้อมูลของแต่ละคนเป็น “อันเดียวกัน” เรียกว่า การสร้าง “นวัตกรรม หรือ Innovation”ของกลุ่ม >>4.ทุกกลุ่มนำเสนอ Innovation หรือ ผลงานนวัตกรรมของกลุ่มตน >>5.ครู, นักเรียนในชั้น ทำหน้าที่ Feedback เพื่อความกระจ่างชัดถูกต้องตามความเป็นจริง >>6.คุณครูสรุปบทเรียน หรือ Summarizing >>7.นำไปสู่การแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป..***
***ความรู้เกิดจากประสบการณ์ ที่ทั้งร่างกายและจิตใจ “Body and Mind” เกิดการสัมผัสกับการแก้ปัญหาในประสบการณ์ เช่น ปมปัญหาของสถานการณ์ โจทย์ คณิตศาสตร์ สมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์ เหตุการณ์ หรือ เงื่อนไขจากกิจกรรมที่คุณครูสร้างขึ้น***
3.นำความคิดไปใช้ application of ideas เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนมีโอกาสใช้แนวคิดหรือความรู้ความเข้าใจที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย เป็นการแสดงว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย การเรียนรู้ที่ไม่มีการนำความรู้ไปใช้เรียกว่า เรียนหนังสือไม่ใช่เรียนรู้
***ครูออกแบบการการสอน Instructional Design ด้วยรูปแบบที่เหมาะสม กับสถานการณ์ ลักษณะรายวิชา เนื้อหา และสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ที่เป็นจริง ซึ่ง คุณครูสามารถ “ดัดแปลง Adapt” มาจากรูปแบบของ Backward Design, หรือ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือ รูปแบบอื่นๆที่คุณครูเห็นว่าเหมาะสม กับ การเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ Experience Learning และยุทธศาสตร์ Learning by Doing***
***วางแผนการเรียน Learning Plan ร่วมกับนักเรียน เพื่อหาแนวทางการเรียนที่เหมาะสมร่วมกัน***
ในขั้นตอนนี้ ขออนุญาตทบทวน การออกแบบด้วย Backward Design อีกสักหน่อย..หวังว่า คงให้อภัยกันได้นะครับ..อยาโกรธกันนะ..
ใช้โครงสร้างของ Backward Design ในการออกแบบ
หลักการสำคัญ “ในการออกแบบการเรียนการสอน Learning and Teaching Designing” ด้วย Backward Design นั้น มีเรื่อง“สำคัญ” ที่ต้องคำนึงถึง 3.เรื่อง คือ
3.1.Identify desired results ระบุถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ ว่า อะไรคือสิ่งที่นักเรียนควรรู้ ควรเข้าใจ และสามารถทำได้..มีเนื้อหาอะไรบ้างที่มีคุณค่าควรทำความเข้าใจ “กระบวนการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการนั้น..จะต้องทำอย่างไร..กำหนดบทบาทของครู กำหนดบทบาทของนักเรียน ในการออกแบบวางแผนการสอนในแต่ละเรื่องไว้ด้วย..
3.2. Determine acceptable evidence.พิจารณาหลักฐานที่ได้รับการยอมรับ ทำอย่างไรเราจึงจะทราบว่านักเรียนบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ..และ มีอะไรบ้าง “ที่จะบอก”ให้เราทราบว่า “นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ และมีผลสัมฤทธิ์ตามที่ต้องการจริงๆ.. ในการเรียนแบบ Learning by Doing เรียกสิ่งที่ต้องการนี้ว่า “ตัวชี้วัด หรือ Indicators นั่นเอง..
3.3. Plan learning experiences and instruction. วางแผนประสบการณ์การเรียน และวางแผนการสอน ว่า What enabling knowledge and skills will students need in order to perform effectively and achieve desired results? What activities, sequence, and resources are best suited to accomplishing our goals? ..เพื่อทำให้เกิดความรู้แท้จริง ..นักเรียนจะต้อง “ทำกิจกรรมอะไรบ้าง ทำอย่างไร ตามลำดับก่อนหลัง”...มีแหล่งเรียนรู้ หรือ Learning resources ที่ดีที่สุดอะไรบ้าง สำหรับนักเรียน เพื่อ สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ Experience Participation ด้วยวิธีการเรียนแบบ Learning by Doing ....
4.ประเมินความคิดใหม่ evaluation of the new ideas โดยการทดลองหรือการคิดอย่างลึกซึ้ง คุณครู และผู้เรียนควรหาแนวทางที่ดีที่สุดในการทดสอบความคิดหรือความร
***ใช้หลักการประเมินตามความเป็นจริง Authentic Assessment ซึ่งเป็นการประเมินเพื่อการแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาที่สอดคล้องกับการเรียนรู้เชิงพื้นที่ Geospatial learning***
***รักษาคุณภาพ ด้วยหลักการ PDCA ของ ดร.เอ็ดเวิร์ด เดมมิ่ง Dr. W. Edwards Deming ที่เรียกว่า PDCA Demimg Cycle นั่นเอง***
ขอทบทวนอีกนิด....
P : Plan คือการวางแผนและการกำหนดวัตถุประสงค์ของการทำงาน
D : Do คือการทำตามแผนนั้น ๆ
C : Check คือการตรวจสอบผลการปฏิบัติตามแผน
A : Act คือการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ผลการปฏิบัติงานพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ
สุทัศน์ เอกา...................บอกความ
แหล่งที่มา เฟสบุ๊ค สุทัศน์ เอกา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น